HAPPY NEW YEAR 2009

เวลาที่ไหลไม่หยุดนิ่ง โดยไม่ทันได้ตั้งตัว ปีนึงก็กำลังผ่านไป…
ถามตัวเองว่าปีนี้มีความสุขหรือหรือเปล่า?
ถามตัวเองว่าปีนี้ได้ทำอะไรดีๆแล้วบ้าง?
ถามตัวเองปีนี้ทำเรื่องที่เป็นเป้าหมายสำเร็จไปแล้วกี่อย่าง?
เป็นคำถามที่ยากจะตอบชะมัด
 
ที่รู้ในตอนนี้ คือปีที่จะผ่านไป ไม่ได้ทำอะไรสำเร็จดังหวังเลย…แหมช่างเป็นปีที่ผ่านแล้วผ่านเลยเสียจริง
ความหวังที่ตั้งไว้ ข่าวร้ายตอนท้ายปี(สอบตก) ช่างเสียดแทงจิตใจซะเหลือเกิน
 

ปีหน้าจะเป็นยังงัยนะ ?
จะได้เจอเรื่องน่าสนใจอีกเท่าไหร่…
จะสนุกกว่านี้อีกกี่เท่า…
จะได้เจอคนดีๆมั้ย…
จะทำเรื่องที่เป็นเป้าหมายได้สำเร็จอีกกี่มากน้อย…
และจะมีความสุขหรือเปล่า…

 
ไม่รู้หรอก ว่ามันจะเป็นอย่างไร ก็ขอให้เป็นอีกปีที่ได้เรียนรู้อีกหลายๆอย่างก็แล้วกัน
MERRY CHRISTMAS and HAPPY NEW YEAR! …WaHaHa  

ปล.เพราะไม่ใช่ซานตาครอส จึงไม่สามารถมอบของขวัญให้ทุกๆคนได้…
แต่ถ้าคำอธิษฐานของเราสามารถเป็นจริง ขอให้ปีหน้าเพื่อนๆมีความสุขมากๆ ค้นพบกับสิ่งที่ตัวเองต้องการ และไขว่คว้าพยายามให้สำเร็จ…

สวัสดีปีใหม่นะจ๊ะ

สิ่งมีชีวิตที่เจิดจ้า กับกรวดดินไร้ค่าอันต้อยต่ำ

ขอบ่นกับชีวิต ได้คุยกับอ้อเรื่องไปประชุมวิชาการ เห็นบอกว่าได้เจอเพื่อนๆตั้งหลายคนแน่ะ แต่ละคนพอเรียนจบทำงานมีแต่จะไฮโซขึ้นเรื่อยๆ ทั้งดูดี ทั้งมีเงิน พอมองย้อนกลับดูตัวเอง พบว่าตัวเองที่อยู่รพช.แทบไม่มีอะไรแตกต่างจากเดิมเลยแม้แต่นิด
พอคิดว่าทุกคนต่างไปสอบเรียนต่อ แต่ตัวเองนั่งอยู่เฉยๆด้วยความคิดที่ว่าพอใจเพียงเท่านี้  จิตใจก็กังวลสับสนแปลกๆ
หรือว่าเราเป็นพวกไม่คิดไขว่คว้าอะไร ไม่มีอนาคต ไม่มีจุดมุ่งหมาย เหมือนคนอื่นๆ…
 
เพื่อนๆเหมือนคนแปลกหน้า คล้ายกับสิ่งมีชีวิตที่เจิดจ้า ที่เราไม่กล้าสบตามองโดยตรง(ทั้งที่เราไม่ใช่ซูนาโกะสักหน่อย)

กลัว…ว่าหากยิ่งมองพวกเค้าเราจะดูไร้ค่าลงเรื่อยๆ
กลัว…ว่าหากเราคิดพอใจจะหยุดอยู่ที่นี่ เราจะไม่มีวันตามพวกเค้าทัน
กลัว…ว่าหากพวกเค้าเอ่ยปากถามเรา เราจะพูดกับพวกเค้าด้วยถ้อยคำแบบไหน
ไม่ว่าใครๆก็ดูเจิดจ้าซะเหลือเกิน
 
เริ่มเข้าใจนิดๆแล้วแหะว่า ทำไมใครๆถึงอยากทำเอกชน …
ทำไมพวกเค้าถึงเลือกที่จะไปจากโรงพยาบาลที่ห่างไกลแสงสี…
ทำไมพวกเค้าถึงเลือกที่จะอยู่ในเมือง…
ทำไมพวกเค้าถึงคิดอยากจะเรียนต่อ…
 
แต่เราที่ยังอยู่ตรงที่นี้ ยิ่งเปรียบเทียบ ตัวเองยิ่งเหมือนก้อนกรวดก้อนหนึ่งไม่มีความสำคัญอะไร
ที่เราขาดอยู่ คืออะไรกัน ใช่ความมุ่งมั่น หรือความทะเยอทะยาน หรือเปล่านะ
เฮ้อ…คิดอีกทีก็อยากลาออกซะแล้วสิ
 
ปล.ยิ่งคิดยิ่งติดลบ เซ็งจริงๆ ไม่อยากให้ถึงปีใหม่เลยกลัวจิตตกยิ่งกว่าเดิม
 

ชีวิตใน…รพช.(6)

ตอน… การทำ sealant กับเรื่องเล็กๆที่ได้พบ

ทุกปีที่ฝ่ายจะมีโครงการเคลือบหลุมร่องฟัน(การทำ sealant)ในเด็กประถม 1 ดังนั้นช่วงบ่ายจึงต้องมีการนัดเด็กจากโรงเรียนต่างๆมาทำฟันที่โรงพยาบาล

หากจะถามว่าการเคลือบหลุมร่องฟัน คืออะไร?

มันก็คือวิธีการหนึ่งในการป้องกันฟันผุ โดยการใช้สาร/วัสดุเคลือบไปที่ฟันที่มีหลุมร่องฟันที่ลึก เพื่อให้หลุมร่องฟันตื้นขึ้น ป้องกันเศษอาหารไม่ให้ไปติด ทำให้เกิดฟันผุได้ยากขึ้น และทำให้ทำความสะอาดฟันได้ง่าย

วิธีการทำก็ไม่ยุ่งยาก แป๊บเดียวเสร็จ (ถ้าเด็กไม่ร้อง ไม่ดิ้น) ขัดๆ ทาๆ ฉายแสง ไม่หลุดเป็นอันจบ เสร็จพิธี

 

แต่ทำไมนะ ทั้งๆที่ทำเสร็จไปแล้ว แต่ยังคงมีสิ่งคาใจเราอยู่ ถ้าบอกออกไปว่าสิ่งที่เราติดค้างอยู่มัน คืออะไร หลายคนคงจะหาว่าเราบ้า หรือว่าพิลึกล่ะ คิดแปลกๆแบบที่ไม่ค่อยมีคนเค้าคิดกันตอนที่ทำ sealant

 

นั่นก็เพราะ…

สิ่งที่เรามองอยู่ขณะที่ทำฟันให้เด็กนักเรียนเหล่านั้น คือ ถุงเท้าที่เด็กๆใส่กัน ถุงเท้าที่ดำ ขมุกขมอม ขาดบ้าง ไม่ขาดบ้าง สั้นข้าง ยาวข้าง

สิ่งที่เรามองอยู่ขณะที่ทำฟันให้เด็กนักเรียนเหล่านั้น คือ ชุดนักเรียนที่เก่าบ้าง ใหม่บ้าง ยับบ้าง เรียบบ้าง ดำบ้าง ขาวบ้าง มีชื่อปักด้วยมือบ้าง ปักด้วยเครื่องบ้าง หรือไม่ปักเลย

สิ่งที่เรามองอยู่ขณะที่ทำฟันให้เด็กนักเรียนเหล่านั้น คือ ภาพสะท้อนความเป็นอยู่ของพวกเค้าหรือเปล่านะ (คิดไปไกล)

 

แต่มีเด็กคนนึงที่ทำให้เราประหลาดใจเมื่อได้ยินพี่ทันตาพูดถึง คือ พอตรวจฟันเด็กเสร็จแล้วพบว่ามีฟันผุอีกหลายซี่ บอกเด็กว่า ว่างๆให้พ่อแม่มาทำฟันนะ เด็กคนนั้นกลับบอกว่า วันนี้จะทำเลย เพราะพ่อแม่ไม่ค่อยว่างพามา (โห เด็กประถมแอบใจเด็ดนะเนี่ย เก่งกว่าเด็กคนอื่นๆที่มาทำฟันแล้วร้องไห้) อืม…อืม…

เด็กอีกคน ทั้งที่อากาศหนาวมาก แต่ไม่ได้ใส่เสื้อกันหนาว เราถามว่า ไม่หนาวเหรอ(เพื่อนคนอื่นเค้าก็ใส่เสื้อกันหนาวนะ) เด็กคนนั้นยิ้ม แล้วตอบว่าไม่หนาว เรา อืม…อืม

 

คำถาม ของเราคือ …

พ่อแม่เค้าไม่ว่างจริงๆเหรอ? เค้าทำงานอะไร ทำงานหนักขนาดไหน ขนาดที่น้องเค้ารู้เลยว่าถ้ารอให้พ่อแม่พามาคงไม่ได้แน่

น้องเค้าไม่หนาว หรือ ไม่มีเสื้อกันหนาว?

ถุงเท้าที่ขนาดซะจนนิ้วเท้าโผล่ตั้งหลายนิ้ว ทำไมถึงไม่เปลี่ยน?

เสื้อที่ไม่ได้ปักชื่อ เพราะอะไร?

คิดแล้วก็ปัญญาอ่อน ติงต๊องส์กับเรื่องไม่เป็นเรื่อง

ชีวิตของเค้า และคำตอบมันก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรมากมายกับเรานิ

 

แต่บ่อยครั้งที่คิดถึง เราอดคิดไม่ได้ว่า กว่า 50% สิ่งที่เห็นน่าจะมาจากความเป็นอยู่ ทั้งอย่างนั้นแล้วเรายังไม่ได้ทำในสิ่งที่เราพอจะทำได้ในตอนนั้นให้พวกเค้าเลย  ยังไม่ได้คิดแม้แต่คำว่าพยายามให้เต็มที่  รู้สึกว่าตัวเองทำงานแข่งกับเวลามากเกินไป จนละทิ้งโอกาสที่จะ Treatment ฟันซี่อื่นๆที่สามารถทำได้ ณ ตอนนั้นให้เด็ก ไม่ว่าเรื่องเล็กน้อยที่เราเห็นจะเกี่ยวข้องกับเราหรือไม่ก็ตาม ทำไมตอนนั้นเราถึงไม่ลองพยายามให้มากขึ้นอีกนะ ทำไมไม่อุดซี่นั้นล่ะ ทำไมไม่วาง Treatment plan full mouth ให้นะ

คิดได้ แต่ทำไม่ได้ มันน่าขำ เพราะเราเป็นหมอที่คิดถึงแต่ความสบายของตัวเองมากไปหรือเปล่านะเวรกรรม เลวจริงๆ

 

ถ้ามีโอกาสละก็ อยากจะลองสักครั้ง  พยายามอีกนิดเพื่อเด็กพวกนั้นบ้างจัง

 

ปล.ขี้เกียจคิดโครงการ ถึงได้บอกไงล่ะ ว่าคนเรามีสองด้าน ด้านแอคทีฟ กับโหมดขี้เกียจ อิอิ…

อีกอย่างนะโลกในอุดมคติกับความเป็นจริงมักจะตรงข้ามกันเสมอ…

ชีวิตใน…รพช.(5)

ตอน…ลมหนาว ความหง่าวและรพช. (^_^)

เนิบนาบไร้จุดหมาย…เหนื่อยหน่ายการงานซากซ้ำ

จำเจอยู่ทุกคืนวัน…เมื่อไหร่นั้นจะได้ทำสิ่งพอใจ

 

555 ขึ้นต้นด้วยการพร่ำพรรณาความน่าเบื่อของชีวิตในช่วงนี้ จะว่าไปแล้วช่วงที่ผ่านมาก็ทำแต่งานซ้ำๆซากๆ อุดฟัน ฟันปลอม endo ทำ pulpเด็ก วนเวียนเรื่อยไป ไม่มีอะไรแปลกใหม่มาช่วยเยียวยาหัวใจให้พ้นจากความเบื่อหน่ายไปได้เลย

 

เพื่อนๆเคยสงสัยกันมั้ย ว่าทำไมถึงต้องมาเป็นหมอฟันใน รพช.กันด้วย

คำตอบง่ายๆตรงประเด็น …เพราะพวกเราไม่มีเงินไถ่ตัวยังงัยล่ะ  อิอิ(เฮ้ย! ตรงไปปล่าวฟระ)

ถ้าอย่างนั้นขอคำตอบดีๆสักสองสามคำตอบหน่อยสิ

…เพราะอยากหาประสบการณ์ในการทำงาน

…เพราะอยากทำงานชุมชน

…เพราะอยากมีโอกาสรับใช้ประชาชน ช่วยเหลือชาวบ้าน

เออ ค่อยยังชั่วหน่อย ดูมีคุณค่าและสาระขึ้นมาอีกนิด

 

ตัวเราเองก็เคยคิดแบบนี้ล่ะ แต่เมื่อเวลาผ่านไปได้เรียนรู้อะไรหลายๆอย่างมากขึ้น ก็เริ่มค้นพบความจริงของชีวิต พบว่าสิ่งที่ตัวเองอยากให้เป็นกับสิ่งที่เป็นอยู่มันช่างแตกต่างและยากที่จะใช้กำลังอันน้อยนิดเปลี่ยนแปลงมันได้ ไม่ว่าจะเป็นระบบการทำงาน ระบบราชการ ทัศนคติของชาวบ้าน ความยากลำบากในการเดินทาง และอื่นๆ

 

มองย้อนกลับไป เมื่อตอนจะเรียนจบแหล่มิจบแหล่  เรานั้นไซร้ได้ลองไปสมัครเป็นทันตแพทย์ที่โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยสองแห่ง แห่งที่หนึ่ง เมื่อสอบสัมภาษณ์แล้ว ท่านอาจารย์กลับยื่นข้อเสนอให้เราไปเป็นอาจารย์ชุมชน(???) เอ่อ แต่เราสมัครทันตแพทย์สาย ข.นะ(ทันตแพทย์ที่ทำฟันในรพ.มหาวิทยาลัย) งงแบบแปลกๆ ต่อให้ขาดคนแค่ไหน แต่จะให้เรานั้นไปเป็นอาจารย์ คงต้องคิดหนัก กลั้นใจตอบ say good bye ไป ส่วนอีกที่หนึ่งสัมภาษณ์ไม่เท่าไหร่ ท่านก็พูดออกมาว่า “เธอนะไม่ควรทำงานที่นี่หรอก คิดให้ดีๆนะ ที่ๆน่าจะเหมาะกับเธอ คือที่โรงพยาบาลชุมชน” เรียกได้ว่าสอบตกสัมภาษณ์ไปตามระเบียบ 555 

สงสัยคงเป็นเพราะดวงของเราละมั้งที่ทำให้ได้มาอยู่ที่ รพช. เป็นหมอฟัน รพช. ไปโดยปริยาย  

 

ก้าวแรกที่เข้าสู่โรงพยาบาลชุมชน บรรยากาศเรียบง่ายในชนบท สองข้างทางเป็นป่าและทุ่งนา บรรยากาศแบบนี้ยากที่จะหาได้ตามเมืองใหญ่ คนไข้ที่ไม่เยอะมาก(แบบร้านทำฟันเชิงธุรกิจ)เพียงพอที่จะทำให้ได้พูดคุยทราบถึงความเป็นอยู่และทัศนคติของพวกเค้า  การได้พบกับผู้คนที่หลากหลายทั้งผู้ร่วมงานในฝ่าย นอกฝ่าย  ทำให้ได้เรียนรู้งานเพิ่มขึ้น (ทั้งที่จริงๆตัวเราไม่ใช่เป็นคนที่มนุษยสัมพันธ์ดีนัก โดยมากออกแนวเฉยๆเป็นส่วนใหญ่ แต่ก็ได้อะไรมาบ้างแหละน่าจากการที่ยืนอยู่ตรงจุดนี้)

ความต้องการของคนไข้ในชุมชนกับการตอบสนองของทันตแพทย์นั้นทำอย่างไรถึงจะพอเพียง เป็นคำถามที่เราคิดหาคำตอบอยู่เสมอ

แม้ว่าจะรู้ทั้งรู้ว่าสิ่งที่จำเป็นจริงๆ คือ การเข้าถึงชุมชน แต่ความขี้เกียจของคนที่ไม่ได้มีเป้าหมายเลอเลิศอย่างเรา

ได้แต่ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามครรลองที่ควรจะเป็น พูดง่ายๆคือ อะไรจะเกิดก็เกิดเถอะ ขอเป็นฝ่ายตั้งรับดีกว่าฝ่ายรุกก็แล้วกัน จะป้องกันให้ความรู้ไปใย ในเมื่อปัญหาสำคัญของชาวบ้าน ไม่ใช่ปัญหาเรื่องฟัน แต่เป็นปัญหาปากท้อง

(555…ความคิดที่สิ้นหวังของหมอฟันอย่างเรา  ไม่ควรเลียนแบบเป็นอย่างยิ่ง)

 

หากถามว่าเสียใจมั้ยกับการได้มาอยู่ รพช. ?

อยากบอกว่า ไม่หรอก เพราะการมาอยู่ที่นี่ทำให้เราได้เผชิญกับหลายสิ่งหลายอย่าง  ได้เรียนรู้ (ทั้งเรื่องคนและเรื่องงาน)

ถ้าถามว่าพอใจมั้ย?

อยากบอกว่าพอใจ แต่ไม่ใช่ที่สุด (เพราะคนเรามันโลภมากเป็นนิสัย)

ถ้าถามว่ามีความสุขมั้ย?

อยากบอกว่ามันราบเรียบและเรียบเฉย  ไม่ได้มีความสุขมากมายอะไรเลย แต่สามารถอยู่ได้ ถ้าคนอื่นต้องการเรา และเราต้องการที่จะอยู่

 

ลมหนาวครั้งที่สองของการอยู่รพช.มาถึงแล้ว ความหนาวไม่แตกต่าง แต่ความรู้สึกกลับแตกต่าง

ปีหน้าเราจะอยู่ ณ ที่แห่งนี้หรือเปล่า?

ปีหน้าเราเดินไปทางไหนดี

ปีหน้าสิ่งที่เราจะต้องทำมีมากน้อยแค่ไหนกัน

 

ไม่ใช่คนดี ไม่ใช่คนที่เสียสละอะไรมากมาย และไม่ใช่คนที่อยากแข่งขัน

ชีวิตที่เงียบสงบในรพช. ดูเหมือนจะเหมาะกับเรา?

เห็นเพื่อนมากมายที่ทั้งลาออก และโยกย้าย

ทั้งที่เราเองก็อยากสบายบ้าง แต่อย่างนั้น คือสิ่งที่เราต้องการจริงหรือ?

ไม่ได้รักรพช. มากมาย แต่ก็ไม่อยากจากไป….

 

ลังเล…ลังเล…ลังเล

ทั้งที่น่าเบื่อมากมาย แต่คิดแล้วก็ยังตัดใจไม่ลง

สิ่งที่หาไม่ได้จากที่อื่นนอกจากรพช. เหมือนเราจะตกหลุมเข้าให้ซะแล้ว…

สิ่งที่เราควรทำเพื่อ รพช. อาจจะยังไม่มากพอ

สิ่งที่เราอยากทำที่ รพช. ยังมีบ้างที่ยังไม่ได้ทำ และทำไม่สำเร็จ

ปีหน้าเราอาจจะอยู่ที่รพช.เดิม หรืออาจจะย้ายออกไปรพช.แห่งใหม่  ไม่ว่าอย่างไรสถานที่ที่เราเลือกจะอยู่ คือ  รพช.