หลังจากที่ทุกคนแยกย้ายกันไปตามทางของตัวเอง ในปีที่ผ่านมามีเรื่องมากมายที่ทำให้หลายๆคนเกือบประสาทกิน ไม่ว่าจะเป็น อ้อ ที่ความเหงาเข้าถาโถม แนน ที่เพื่อนชายไม่มอง เอ๊ย ไม่ใช่ ที่ต้องปรับตัวกับการทำงานในสถานที่ใหม่ ตู่ ที่บ้าพลังจน myofacial pain และ skin lesion กำเริบ นู๋วิ ที่เรียนอย่างหนักจนบลาๆๆๆ เมื่อทุกคนอยู่ในอาการโคม่าขนาดนี้ ก่อนที่จะสายเกินแก้ ทริป “มามะมา…ไปอัมพวากันเต๊อะ!!!” (ตั้งชื่อโดยแพนด้าน้อย) จึงได้ถูกจัดขึ้น ภายใต้การดูแลของดาราพรรณ ทราแวล ทัวร์ (ขอค่าโฆษณาด้วยนะแก อิอิ) ความสนุกสนานขอทริปทัวร์คนแก่จึงได้เริ่มขึ้นในวันที่ 26-28 กันยายน 2552 ที่ผ่านมา
ก่อนอื่นเลยจะขอแนะนำสมาชิกทัวร์ในครั้งนี้ เริ่มด้วย…
อ้อ…หน.ทริป ผู้ดูแลการทัวร์ และสารถี
เมย์…สาวสวยโสด (อันนี้ก็ขอค่าโฆษณาด้วยนะ) เหรัญญิกประจำทริป
แนน…สาวลูกทัวร์ ผู้ไปไหนไปกัน ขอเพียงให้ได้อกจากรพ.เธอก็พอใจ
พี่ต่าย…พี่สาวที่น่ารัก วัยไม่ใช่อุปสรรคสำหรับเจ๊ เที่ยวกันมาหลายทริป จนกลมกลืนเหมือนเป็นรุ่นราวคราวเดียวกัน
ตู่…สาวบ้าพลัง ชอบพ่นน้ำมนต์โยไม่ได้ตั้งใจ มาคราวนี้ผอมลงจนน่าอิจฉา เนื่องจากโหมงานหนักที่รพ.ศูนย์
และท้ายสุด ตัวอิชั้นเอง…ลูกทัวร์ที่แสนจะธรรมดา สาวแว่น ดำ อ้วน เตี้ยติดดิน ที่ปรารถนาจะออกนอกประเทศสักครั้ง แต่ครั้งนี้ก็ยังคงติดแหงกอยู่ในประเทศ แต่ไม่เป็นไร ท่องเที่ยวทั่วไทย ไม่ไปไม่รู้ค่ะ ถึงไม่ได้ออกนอกประเทศ แต่ทริปนี้ก็มีอะไรดีๆที่อยาก นำเสนอเหมือนกัน
เสียดายที่ทริปนี้นู๋วิไม่ได้ไปด้วยเพราะติดภารกิจในการสอบ ปอ ที่ไม่ว่างลงมาจากอำนาจ และน้องหญิงที่ทำงานงกๆอยู่ที่ศิริราช คิดถึงจัง เลยเที่ยวเผื่อนะจ๊ะ ไม่ต้องงอนไป
ขอเริ่มโม้ทริปเลยน้า อารัมภบทนานเกินไปแล้ว อิอิ
วันเสาร์ที่ 26 กันยายน 2552
เริ่มเดินทางออกจากปั๊มน้ำมันบางจากที่อยู่ข้างๆบิ๊กซีพระราม 2 ด้วย”ทาโร่” วีออสคู่ใจของอ้อเดินทางเพียงชั่วโมงนิดๆก็มาถึงที่หมายแรก คือ ที่ ดอนหอยหลอด จ.สมุทรสงคราม เสียดายนิดๆที่วันนี้น้ำขึ้น จึงไม่ได้ไปหยอดรูหอย ได้เห็นแค่น้ำทะเลเท่านั้น (แต่แอบรู้สึกว่าไม่ได้กลิ่นทะเลเลยแหะ หรือว่าจริงๆแล้วมันไม่ใช่ทะเล งงจัง) ขบวนทริปได้ไปสักการะกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ (ได้มีโอกาสเสี่ยงเซียมซี ไม่ดีไม่ร้ายเกินไป พอทำใจให้อยู่ในความไม่ประมาท) จากนั้นก็ไปแวะซื้อของฝาก อาหารแห้ง อยากบอกว่าแผงขายอาหารมีแต่น่ากินทั้งนั้นเลย แต่เสียดายที่ซื้อได้ไม่เยอะ เพราะกลัวของเสียซะก่อนถึงวันกลับ ได้กินหอยหลอดและหอยทับทิมหวาน (รสชาติโอเคอยู่ แต่ความเหนียวเนี่ยหวั่นๆว่าลวดจัดฟันชั้นจะหลุดมาซะก่อน)
หลังที่ที่ซื้อของฝากจนเป็นที่พอใจ พวกเราก็ได้นั่งสุมหัวกันหาของว่างทาน (แน่ใจนะว่ามันเป็นของว่าง) ไข่ปลาหมึก ทองม้วนสด หอยหวาน ขนมจาก หอยเชลล์ย่าง แถมด้วยส้มตำของเจ๊ต่าย(ถ้าเจ๊ไม่ได้กินเดี๋ยวหมดแรง เพราะไม่มีปลาร้าในกระแสเลือด กร๊ากๆๆๆ) กินกันอย่างเอร็ดอร่อย และด้วยความงกของพวกเรา เลยไม่ต้องเช่าเสื่อ นั่งกันบนพื้นทั้งอย่างนั้นแหละ หุหุ
อาหารว่างผ่านไป ต่อมาจึงเป็นอาหารหลักมื้อเที่ยง เราได้มูฟกันไปยังร้านครูหมู ซึ่งเป็นร้านอาหารขึ้นชื่อ สุดยอดอาหารทะเลริมแม่น้ำแม่กลอง ถ้าไม่ได้จองโต๊ะไว้ก่อน อาจอดกิน อาหารจานเด็ดได้แก่ ปูผัดผงกะหรี่(จานละห้าร้อย แต่อร่อยจริงๆ) ปลาทูซาเตี๊ยะ(อันนี้ชอบเป็นพิเศษ) หอยหลอดผัดฉ่า ต้มยำรวมมิตร ตบท้ายด้วยไอติมผลไม้(ที่เค้ากินไปได้ติ๊ดเดียว เพราะอิ่มจนกินไม่ลง) โดยสรุปแล้ว อาหารเค้าอร่อยจริงๆนะ ยกนิ้วให้เลย หุหุ
หลังจากหนังท้องตึงหนังตาก็เริ่มหย่อน สถานที่ที่จะไปต่อไปก็ คือ วัดบ้านแหลม หรือ วัดเพชรสมุทรวรวิหาร พระพุทธรูปคู่เมืองแม่กลองขึ้นชื่อเรื่องความศักสิทธิ์ เพื่อนๆทุกคนที่ไปคงบนกันไว้แล้ว ส่วนเราขอบายเพราะไม่ชอบการบน จึงไหว้เฉยๆ พร้อมถือโอกาสทำบุญน้ำมันตะเกียง ที่วัดจะมีโซนที่จัดไว้เพื่อรำแก้บนด้วย
และแล้วในที่สุดก็ถึงเวลาไปยังที่พัก “กนกรัตน์รีสอร์ท” อ.อัมพวา จ.สมุทรสงคราม เป็นรีสอร์ทที่อยู่ห่างออกมาจากตลาดไกลอยู่บ้าง แต่ได้ความเป็นส่วนตัว คนไม่พลุกพล่าน บรรยากาศที่พักเชิญชมตามสบาย สวยร่มรื่นอยู่ ทันทีที่ไปถึงที่พักพนักงานต้อนรับเสิรฟด้วยน้ำกระเจี๊ยบคลายร้อนได้เยอะ ส่วนภายในห้องพักก็เรียบร้อย ห้องน้ำน่ารักดี อาหารเช้าโอเค ตอนเช้าก็มี ถึงเจ็ดโมงครึ่ง ใครอยากตักก็ลองมาที่นี่ได้นะ หรือเข้าไปดูรายละเอียดได้ที่ http://www.kanokratresort.com (ขอค่าโฆษณาได้มั้ยเนี่ย อิอิ) อ้อ..ลืมบอกไปข้อเสียคือที่จอดรถน้อยนะ แต่เค้าก็มีที่จอดอยู่หลังรีสอร์ทอีกที่นึง อ้อมไปอีกนิด ถ้าใครไปแล้วหาที่จอดรถไม่ได้ ก็บอกพนักงานให้ช่วยจัดการให้ก็เรียบร้อย…
กลับมาต่อเรื่องท่องเที่ยว หลังจากเข้าที่พักนอนงีบเติมพลังไปแป๊ปนึง ก็ได้เวลาออกเริงร่าหากินกันต่อที่ตลาดน้ำอัมพวา (เสียดายที่ไม่ได้เที่ยวอุทยานร.2 ที่อยู่ติดกับตลาดน้ำ เพราะรถติดมาก หาที่จอดไม่ค่อยได้ เลยขับผ่านไป ไม่รู้ว่ามีอะไรเหมือนกันนะ เพราะยังไม่เคยไปเหมือนกัน)
ตลาดน้ำอัมพวา สายน้ำไม่เคยหลับ สัมผัสบรรยากาศวิถีชีวิตชาวบ้านริมน้ำ เสียงเพลงเก่าสุดคลาสสิก ขนมไทย ขนมของเล่นโบราณหายาก (เห็นแล้วนึกถึงสมัยเด็กๆจัง) ร้านมากมายตามตรอกซอกซอบต่างๆคับคีชั่งด้วยนักท่องเที่ยวที่เดินทางสัญจรมาเยี่ยมชม บางที่แทบจะไม่ได้เดินเลย เรียกว่าไหลไปจะเหมาะกว่า 555 คนเยอะจริงๆ ร้านที่เราถูกใจมีหลายร้านเลยนะ แต่เนื่องจากคนเยอะมากเลยร้อน บวกฝนตกมาเฮือกนึง เราจึงไม่ค่อยมีแรงถ่ายรูปตามร้านต่างๆ (ขออภัยมา ณ มา ณ ที่นี้ คงต้องไปแฮปรูปจากกล้องคนอื่นมาซะแล้ว อิอิ) แต่ร้านที่เราชอบมากที่สุด คือร้านที่ขายรูปภาพ ไปรษณ๊ยบัตรกับโปสเตอร์นะ แต่ละรูปก็จะมีข้อความเขียนไว้หลากหลายให้คิดตาม บางอันอ่านแล้ว แอบอึ้งไปเลย บางอันก็ขำแบบคิดได้ไง มีอยู่อันนึงที่อ่านแล้วชอบน้ำตาซึมเลย เขียนไว้ว่า "ช่วงเวลาที่ก้มกราบพระ ฉันไม่อธิษฐานขอสิ่งใด…เพราะหนึ่งอึดใจที่ปราศจากความต้องการ ใจฉันช่างสะอาด สงบ เย็น" (ตรงใจอิชั้นมากมาย เพราะเป็นคนนึงล่ะที่เวลาไหว้พระไม่ค่อยขออะไร)
ส่วนร้านอื่นๆได้แก่ร้านเสื้อ(มีหลายร้านมาก บางร้านขายแพง บางร้านขายถูก ขึ้นอยู่กับลวดลายและการออกแบบ ลองดูให้ดีก่อนซื้อละกัน) ร้านขนม ร้านชานม มีร้านนึงที่ขายเค้กฟองน้ำซึ่งอร่อยและนุ่มมากๆเลย คนต่อคิวกันยาว แต่ถ้าใครได้ไปแนะนำให้ไปลองชิมและก็อุดหนุนกันนะ กล่องเล็ก 60 กล่องใหญ่ 120 ซื้อ 10 แถม 1 (แง้วววว…เค้าอยากได้ค่าโฆษณาจังอ่ะ)
ส่วนของที่ระทึก เอ๊ยระลึก เราถูกใจพวงกุญแจ่หิ่งห้อยเรืองแสงมาก น่ารักดี คือถ้าเอามันไปส่องไฟไว้สักพัก แล้วเอามาไว้ในที่มืด ก้นมันจะเรืองแสงได้ มีขายตามทางหลายร้านมากๆแต่ถ้าจะซื้อแนะนำให้ลองต่อราคานะ เค้าจะติดป้ายว่าราคาตัวละ 39 บาท บางร้านจะต่อได้เป็น 3 ตัว 100 บางร้านได้เป็น 4 ตัว 100 ลองดูดีๆก่อนซื้อนะ
เดินกันไประยะนึงเริ่มหาของว่างอีกแล้ว 555 เบอเกอร์ปลาทูไทยเป็นอะไรที่แนะนำให้กิน เพราะอร่อยมาก มีสโลแกนว่า ต้องกินให้ได้ในชาตินี้ หุหุ ถ้าได้ไปก็อย่าลืมแวะซื้อกินสักอันจะติดใจ ไม่ต้องใส่ซอสก็อร่อยนะ
และแล้วก็ถึงไคลแมกซ์สำคัญของทริปนี้ นั่นคือ การนั่งเรือชมหิ่งห้อย บรรยากาศสุดโรมานช์ของคู่รัก(แต่บังเอิญทริปนี้มีแต่สาวโฉด เอ๊ย โสดไปทั้งหมด เลยต้องบิ๊วท์บรรยากาศกันเอาเอง ฮา… ) เรือชมหิ่งห้อยก็มีหลายเจ้าด้วยกันแล้วแต่จะเลือก ส่วนใหญ่ราคาตกอยู่ที่คนละ 60 บาท เหมาลำ 600(ส่วนตอนกลางวันราคาจะอีกอย่างนึง แต่จะเป็นการพายเรือทัวร์วัดทำบุญ) รอบนึงใช้เวลาประมาณ 1ชั่วโมง แต่ไปแล้วคุ้มนะ เพราะได้เห็นหิ่งห้อยตัวเป็นๆ ซึ่งตัวจริงจะค่อนข้างต่างจากในหนัง
คือ จะเห็นมันเกาะอยู่บนต้นลำภูเป็นกลุ่มๆ ส่องแสงวิบๆ คล้ายไฟคริสมาสต์เลย สวยมาก เราโชคดีตรงที่มีหิ่งห้อยตัวนึงบินมาเกาะบนกระเป๋า ไม่ยอมไปไหน เลยได้เห็นอย่างใกล้ชิด (ลัคกี้จริงๆเลย \(^.^)/) ไกด์จะแนะนำที่พักและสถานที่สำคัญติดริมน้ำ เช่น วัด บ้านครูเอื้อ รีสอร์ท หรือโฮมสเตย์ชื่อดัง พร้อมเล่าประวัติของคลองผีหลอกที่กำลังล่องเรืออยู่ ใครอยากรู้ว่ามีที่มาที่ไปยังไง ลองไปดูนะจ๊ะ
วันแรกเหนื่อยแล้วหลังจากเดินมาเกือบห้าชั่วโมง ต้งแต่บ่ายสามโมงกว่าจนเกือบสามทุ่ม(เดินได้ไงฟระเนี่ย ขาลากเลย) ก็ได้เวลาจรลีกลับที่พัก ก่อนกลับแวะกินหอยทอด กุ้งอบวุ้นเส้นประทังชีพที่ผัดไทยเจ้าเด็ดที่อ้อแนะนำ แต่ผัดไทยมันดันหมดซะนั่น อิอิ พอกลับที่พักก็เหนื่อยมาก อาบน้ำแล้วก็หลับ กิจกรรมในร่มใดๆไม่ไหวจะทำทั้งสิ้น นอนดีก่า คร่อกฟี้…
(ยังไม่จบนะจ๊ะยังมีต่อ อีก 2 วันจ้ะ)