ข้อหาที่น่าสงสัย??

ตกเป็นผู้ต้องหาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ แต่เพิ่งทราบข้อหาเมื่อไม่นานมานี้  ทบทวนความผิดอยู่เงียบๆอย่างไม่มีข้อสรุปมาหลายวัน
ไม่อาจบอกได้ว่าตัวเองไม่ผิด แต่รู้สึกว่าการอยู่ร่วมกันนั้นควรแชร์ความผิดนี้ออกให้เท่าๆกัน
 
ข้อหาที่เรายอมรับด้วยความสงสัย ตัดทอนความรู้สึกที่ดีออกทีละน้อย คล้อยตามด้วยความเชื่ออย่างงมงาย
ไม่อาจโยนความผิดนี้ให้ใคร แบกรับและทบทวนตัวเองอย่างช้าๆ
คำพูดที่ร้ายกาจของเราทำร้ายคนอื่นได้เพียงนี้เชียวหรือ?
คำพูดจากปากนี้เพียงพอให้ทุกคนเกลียดได้จริงหรือเปล่า?
คำพูดนี้จะนำพาสิ่งที่เรียกว่าความสุขให้ลอยห่างออกจากเราได้จริงๆน่ะ?
 
เหมือนแอปเปิ้ลอาบยาพิษร้าย
หรือเหมือนมีดกรีดเฉือนหัวใจ
วาจาเรานั้นช่างร้ายกาจเพียงนี้จริงหรือ?
 
พูดอย่างไม่ได้คิดอะไร
พูดไปอย่างที่ใจคิด
นั่นทำให้คนอื่นเสียใจไปมากน้อยแค่ไหนกันนะ
 
เฝ้าหาคำตอบเพื่อแก้ไข
ไล่ถามคนที่คิดว่าจะพูดความจริง
ไม่อาจได้ข้อสรุปที่ชัดเจน นั่นเพราะข้อหานี้เลื่อนลอยเกินไป หรือคนตอบเกรงใจที่จะตอบ หรือเป็นเราที่แบกรับความผิดนี้ไว้ด้วยความสงสัยจากก้นบึ้งหัวใจ
 
ปิดปากตัวเองลงอย่างช้าๆ
ปิดกั้นวาจาไม่ให้ไปทำร้ายใคร
พยายามไม่พูดในทุกสิ่งที่คิดออกไป พยายามไม่ให้ใครๆเกลียด แม้กระทั่งต้องพยายามจนไม่เป็นตัวของตัวเองก็ยอม
เพื่อให้ได้คำตอบที่ถูกต้องนี้มา เพื่อไม่ให้ต่อไปต้องเสียความรู้สึกที่ดีกับคนอื่นอีก
แต่นี่จะใช่ข้อหาที่ถูกต้องจริงๆหรือ?
 
โดนตั้งข้อหาตั้งมากมาย ข้อหาอื่นพอรับได้
แต่ข้อหาใหญ่ข้อนี้ใช่การใส่ร้ายหรือเปล่านะ?
มองโลกในแง่ดีเพื่อให้ตัวเองพ้นผิด 55
ได้แต่เจ็บใจอยู่ลึกๆที่เคยวางใจ
ปลอบตัวเองว่านี่ข้อเสียที่เรามองข้ามไป
น่าจะขอบคุณคนที่ตั้งข้อหาให้ด้วยซ้ำที่หวังดีต่อเราถึงเพียงนี้
 
แต่ไม่ว่ามันจะคือความจริงหรือการซัดทอดใดๆ
ก่อนจะปิดปากลงขอพูดเรื่องหนึ่งอย่างที่ใจคิดได้ไหม
เสียใจที่ต้องจบแบบนี้จริงๆ
แม้เราจะพยายามแล้ว แต่ถ้าอีกฝ่ายไม่พยายามก็ไม่เป็นผล
คำพูดเราทำร้ายคนอื่น แต่คำพูดคนอื่นก็ทำร้ายเราเช่นกัน
การยอมรับกันและกันนั้นมันเป็นเรื่องยากเหลือเกิน
ถนอมความรู้สึกที่เหลืออยู่น้อยนิดกันเถิด  มิตรภาพน่ะ… ถ้าไม่เคารพนับถือซึ่งกันและกันมันก็จบ
 
ปล.อย่าได้ร้องไห้คร่ำครวญใดๆ หรืออย่าเสียใจที่เป็นแบบนี้ เพราะความผิดทั้งหมดเราขอรับไว้เพียงคนเดียวแล้ว
 
 

HaPpY BirThDaY to Me :: Positive think more&more (^.^)

เวลาก็ผ่านไปอีกหนึ่งปี
เป็นผู้ใหญ่ขึ้นอีกหนึ่งปี
มองโลกให้กว้างขึ้นอีกหนึ่งปี
คิดถึงสิ่งดีๆ และทำแต่ละวันให้ดียิ่งขึ้น
 
ขอบคุณท่านพ่อท่านแม่ที่เลี้ยงดูมาจนโตได้ขนาดนี้
ขอบคุณเพื่อนๆทุกคนค่ะ ที่ให้กำลังใจมาโดยตลอด
ขอบคุณผช.ในสังกัดทั้งหลาย (เพื่ออะไร? หุหุ) โดยเฉพาะอย่างยิ่งคำสอนดีๆจากคุณโก๊ะ (^.^)
 
สัญญาว่าจะมองโลกในแง่ดีและมีความสุขให้ได้ค่ะ
 
 MUA~MUA

ต้นสายที่ต้องการคนรับฟัง

เวลาจะโทรศัพท์ถึงใครสักคน คุณคาดหวังอะไรอยู่เหรอ
สิ่งที่ต้นทางจากบอกไปถึงปลายสายถูกตอบรับมากน้อยแค่ไหน…
 
วันนี้มีเรื่องที่อยากจะบอกถึงปลายสายเหลือเกิน
หากมีวันนึงต้นสายคนนี้ได้โทรหาเธอ โปรดรู้ไว้สักนิด
1.หากเธอไม่พร้อมจะรับโทรศัพท์ กรุณาบอกสักนิดเมื่อรับสาย เราจะได้เข้าใจว่าขณะนี้เธอไม่พร้อมที่จะฟังเรา หรือกรุณาอย่ารับเลยถ้าไม่พร้อมจะคุย
2.หากเธอรับโทรศัพท์และการสนทนาได้เริ่มขึ้นแล้ว โปรดช่วยรับฟังสิ่งที่คนนี้จะพูดด้วย ช่วยตั้งใจฟังสักนิด อย่าเงียบไปเฉยๆ หรือตอบรับอย่างเนือยๆ ทำแบบนี้จะทำให้อีก
  ฝ่ายเสียความรู้สึกขนาดไหน ถ้าไม่โดนกับตัวก็ไม่รู้หรอกนะ
3.หากเธอง่วงนอนตอนคุยโทรศัพท์ กรุณาบอกเราในทันที อย่าปล่อยให้ทางนี้พูดคนเดียว มันจะเหมือนคนบ้า รู้มั้ยเนี่ย?
4.หากเธอไม่สามารถคุยได้นาน กรุณาบอกในทันที จะได้รู้ว่าจะคุยแต่ธุระหรือสารพัดปัญหาที่อยากจะบอกต่อ

เอาล่ะ…ที่นึกออกตอนนี้ก็มีเท่านี้แหละ
แล้ววันหลังอย่าทำอย่างนี้อีกนะ เพราะมันรู้สึกแย่เหลือเกินที่ได้เจอ
เธออาจจะโทรหาเราคนนี้เฉพาะเมื่อมีปัญหา
แต่รู้มั้ยว่าที่คนนี้โทรหาเธอเพราะคิดถึง
 
สุดท้ายนี้อยากบอกให้รู้เหลือเกินว่าถ้าต้นสายนี้โทรหาใคร
นั่นคือ เธอเป็นปลายสายที่เราไว้วางใจและอยากพูดคุยด้วย
นั่นคือ เธอเป็นคนที่เราอยากพึ่งพิง  ในทางกลับกันเราเองก็พร้อมที่จะให้เธอพึ่งพิงด้วยเสมอ
จาก..ต้นสาย
ถึง..ปลายทาง

ถึงเพื่อนที่รัก

ถึงเพื่อนที่รัก..
หากจะบอกว่าวันเวลาที่ผ่านมาทำให้พวกเรารู้จักกันดีมากพอ นั่นกลับเป็นความคิดที่ผิด
พวกเราเติบโต ผ่านเวลาแห่งการเรียนรู้ด้วยกันมา  จนเราคิดว่าเข้าใจดีแล้ว แต่จริงๆนั่นก็ผิด
เราเปิดเผยเพียงแค่ไหน เธอเปิดเผยเพียงแค่ไหน พวกเราต่างคุ้นเคยกัน นั่นก็ผิด
เพื่อนที่รักทั้งหลาย… หากจะเป็นเพื่อนกันต้องเปิดใจ เธอเปิดมากแค่ไหน เราก็เปิดมากแค่นั้น
วันก่อนเราเอ่ยถึงความรู้สึกที่แท้จริงในใจ ทั้งสับสนและอ่อนล้า เธอไม่ได้ให้กำลังใจใดๆ แต่ไม่จำเป็นต้องยื้อความคิดเราเอาไว้เลย
สิ่งที่เราจะคิด จะทำ ได้เคยบอกออกไปแล้ว หากไม่สนับสนุนอะไร ก็ไม่ควรพูดให้เสียความตั้งใจอย่างนั้นสิ
รู้มั้ยว่า เราสับสนและปวดใจมากแค่นั้นกับการกระทำที่เปลี่ยนไปของเธอในวันนี้และวันวาน
 
เพื่อนที่รักทั้งหลาย… เวลาที่เพื่อนคนนี้มีปัญหาอะไร โปรดรู้ไว้ว่าแค่ "เพื่อน" อยู่เคียงข้าง ก็อุ่นใจแล้ว
เมื่อเธอมีปัญหา สับสนใจ เราพร้อมที่จะสละเวลาของตัวเองเพื่อรับฟังปัญหานั้น อยู่ข้างๆคอยฟังคำบ่น คอยให้กำลังใจ คอยช่วยเหลือเท่าที่จะทำได้
สิ่งที่เธอตั้งใจจะทำ เพื่อนคนนี้ไม่คิดจะยื้อไว้สักนิด หากเป็นสิ่งที่เธอตัดสินใจแล้ว ก็พร้อมที่จะเผชิญผลลัพธ์ไปด้วยกัน
แต่เมื่อเพื่อนคนนี้มีปัญหา  เธอล่ะทำอย่างไร  ขอเพียงแค่อยู่ข้างๆให้ "เพื่อนคนนี้" อุ่นใจจะได้ไหม นี่เป็นคำขอร้อง
 
เพื่อนที่รักทั้งหลาย… โปรดรู้สักนิด การเป็นเพื่อนกันนั้นควรเคารพการตัดสินใจและนับถือซึ่งกันและกัน
เราเคารพสิ่งที่เธอตัดสินใจเสมอมา แต่เธอล่ะเคารพในการตัดสินใจของเราบ้างไหม?
คำพูดที่บอกกับเราในวันนั้น เหมือนพลิกจากหน้าเป็นหลัง ที่จริงแล้วเป็นเราที่ลังเลสับสน หรือเป็นเธอกันแน่?
สิ่งนี้เราตัดสินใจแล้วนะ ต่อให้สิ่งที่เราคิดจะทำไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุด 100%   อยากให้เธอเข้าใจถึงข้อนี้และเคารพในสิ่งที่เราจะทำจะได้ไหม
 
เพื่อนที่รักทั้งหลาย… การกระทำและคำพูดที่ไม่ชัดเจน บ่อยครั้งมักทำให้มิตรภาพสั่นคลอน
ความหวังดีของเธอเป็นสิ่งที่แท้จริงหรือไม่ เราไม่เคยสงสัยอะไรเลย จนกระทั่งวันนี้
ดังนั้นช่วยทำให้ชัดเจนได้ไหม ให้เพื่อนคนนี้มั่นใจว่าว่าสิ่งที่เชื่อนั้นถูกต้องมาโดยตลอด
 
เพื่อนที่รักทั้งหลาย… สิ่งสุดท้ายที่อยากจะบอก คือ ช่วยเชื่อมั่นในสิ่งที่เพื่อนคนนี้จะทำได้ไหม
แม้ว่ามันจะมีเรื่องราวที่หลากหลายรออยู่ข้างหน้า มีเรื่องที่น่าผิดหวัง หรือเสียใจกองอยู่เท่าภูเขา
ขอเพียงเธอเชื่อมั่นในตัวเรา แค่นั้นก็เพียงพอแล้วสำหรับการก้าวต่อไปข้างหน้า
 
สุดท้ายนี้ ถึงเพื่อนที่รักทั้งหลาย เมื่อเธออ่านข้อความจากใจเพื่อนคนนี้จนจบแล้ว โปรดรับรู้ไว้เถอะว่า เพราะเธอเป็นเพื่อนที่รัก เราจึงได้บอกเรื่องนี้ให้เธอทุกคนได้รับรับรู้
 
"มิตรภาพน่ะ ถ้าไม่นับถือกันและกันเลย มันก็ไม่มีวันยืนยาวหรอกนะ" massage from hotaru to mikan (Gakuen Alice vol.16)

Merry Chirstmas & Happy New Year 2010

รู้สึกตัวอีกทีก็จะสิ้นปีแล้วนะ พอคิดทบทวนเรื่องเก่าๆ(จะออกแนวคนแก่ไปป่ะเนี่ย)ก็พบว่ามีทั้งเรื่องดีและร้ายปนเปกันไปเป็นรสชาติของชีวิต 55
มานั่งนึกดูแล้ว ก็อยากจะจัดอันดับเรื่องราวในปีที่ผ่านของตัวเองไว้เหมือนกัน แต่คงไม่อาจทำได้ เพราะชีวิตนี้ค่อนข้างจะเป็นปลาทอง (สมชื่อชั้นจริงๆ -_-" )
เลยจะขอเอาเป็นว่าพูดแบบรวมๆละกัน


 
เรื่องดีๆ ::    80% ของคำอธิษฐานของเราไม่เคยเป็นจริงเลย เลยชินซะแล้วที่ต้องสมบุกสมบัน ดังนั้นทุกครั้งเวลาที่มีเรื่องดีๆเกิดขึ้นมักจะไม่รู้ตัว
               แต่มีเรื่องนึงที่คิดว่าเป็นเรื่องดี คือ การที่รู้ว่าความพยายามของตัวเองเป็นผล การได้รับการยอมรับและเป็นที่ต้องการ การรู้ว่าตัวเองมีที่ที่สามารถทำประโยชน์ให้คนอื่นได้ นั่นก็เป็นเรื่องที่น่าดีใจอย่างที่สุดแล้ว   (พูดอ้อมไปนิด คงไม่มีใครเข้าใจ เอาเป็นว่าขอให้ยินดีกับเค้าด้วยละกัน) 
           
เรื่องไม่ดี ::  เสียความรู้สึก เปิดใจกันมันทำยากนักเหรอ??  ถ้าไม่สำหรับเราก็จบ  ผลประโยชน์ก็เหมือนเค้กชิ้นหนึ่ง ไม่ต้องแบ่งให้เราก็ได้ แค่จริงใจโดยไม่มีข้ออ้างใดๆก็พอ
                 เบื่อที่จะเล่นซ่อนหาจริง เฮ้อ 1 2 3 4 5 รู้มั้ยว่าตอนนี้เหนื่อยเหลือเกิน…
เรื่องที่ประทับใจ :: การที่ได้รู้จักเพื่อนๆพี่ๆน้องๆที่ดีมากมาย ในโลกที่แสนสับสนและยุ่งเหยิงเพียงนี้ เรากลับพบว่าการได้รู้จักใครสักคนที่ชอบ(เรื่องไร้สาระ)เหมือนๆกัน ทำให้เรารู้ว่าไม่ได้(บ้า)อยู่คนเดียวต่อไป
                         แรกเริ่มนั้นรู้สึกว่าความสัมพันธ์แบบนี้มันช่างประหลาด เปราะบาง เผลอๆจะเต็มไปด้วยอันตราย (เนื่องจากเค้าออกจะอ่อนต่อโลกขนาดนี้ (เอ่อ..เชื่อได้มะเนี่ย?)) ไม่ง่ายเลยที่จะเจอมิตรสหายที่พูดคุยกันได้ในทุกเรื่อง ณ อีก ฟากของหน้าจอหนึ่ง
                         ขอบคุณสำหรับความประทับใจนี้ และหวังว่าไม่ว่าอีกนานแค่ไหนเราจะเติบโตไปพร้อมๆกัน ขอบคุณมากค่ะ 
เรื่องที่เจ็บปวดใจ :: คือการที่ได้รู้ว่าที่สุดแล้วทุกคนก็เห็นแก่ตัวเอง มันน่าเจ็บปวดที่เราพยายามเพื่อคนอื่นมากมาย แต่ถึงเวลาที่เรามีปัญหา ไม่มีใครที่คิดจะพยายามเพื่อเราสักคน (T^T)
 
เรื่องที่ได้เรียนรู้ ::  "หัวใจของความเป็นหมอ" กับ "หัวใจของผู้ให้บริการ" มันต่างกันนะ ในที่สุดก็ได้เรียนรู้ในจุดนี้ เราไม่อาจบอกได้ว่าในปีที่ผ่านมา เราเป็นหมอหรือเป็นผู้ให้บริการมากกว่ากัน แต่การที่ได้มาอยู่ในที่แห่งนี้ทำให้เข้าใจสภาพของคนมากขึ้น  ทุกครั้งที่เรียกชื่อคนไข้ และก่อนจากลา ไม่เคยที่จะลืมเอ่ยคำว่า "สวัสดี"  หลายคนอาจจะคิดว่าเราบ้าไปแล้ว แต่นั่นก็ทำให้เราได้เรียนรู้ว่า ด้วยคำพูดเหล่านี้บางครั้งก็ทำให้พวกเราเข้าถึงจิตใจของคนไข้ได้จริงๆนะ ( ขอบคุณสำหรับของฝาก คำขอบคุณและคำพูดให้กำลังใจในหลายครั้งๆค่ะ )
 
 เรื่องที่ละเลย :: ปีศาจมักจะชนะนางฟ้า บางครั้งตัวขี้เกียจก็กำเริบ ความเบื่อหน่ายก็ขยายอาณาเขต บางครั้งที่เรารู้สึกว่า จะทำงานไปเพื่ออะไร เราไม่สามารถสนอง need ใครได้ เพราะตัวเราเองก็ไม่ค่อยจะรอดเลย
                   บางคราวที่เราละเลยคนไข้ไปบ้าง ขอให้เชื่อเถอะว่าตอนนั้นเดวิลมันพูดกรอกข้างหูข้าพเจ้าอยู่นั่นเอง(แก้ตัวไปน้ำขุ่นๆ) ขอโทษจริงๆค่ะ (-/\-)
นิสัยที่อยากเก็บเอาไว้ :: ก็คงเป็นเรื่องเชื่อคนง่าย ตรงไปตรงมา (จนโดนด่าอยู่เสมอ 55 ก็แหมเค้าเล่นใต้โต๊ะ หรือเลียใครไม่เป็นนิ ทำไงได้ล่ะ) ประทับใจกับเรื่องธรรมดาที่เรียบง่ายอย่างเหลือเชื่อ และรักสันโดษ
นิสัยที่อยากโยนทิ้งไป :: ก็คงเป็นเรื่องเชื่อคนง่าย อีกนั่นแหละ ไม่ทันรู้ตัวเลยสักนิดว่าผลประโยชน์เพียงเล็กน้อย จะทำให้เสียความรู้สึกได้เพียงนี้
                                   อีกอันคือนิสัยชอบพูดเรื่องซ้ำไปซ้ำมา (อันนี้แม่บ่นมา) แต่คิดว่าคงจะเลิกไม่ได้ง่ายๆ ไม่ว่าปีนี้หรือปีไหน เพราะถ้าไม่บ่นก็ไม่ใช่เค้าน่ะสิ อิอิ   
 
เรื่องที่ดีก็เก็บไว้เป็นความทรงจำ เรื่องที่ร้ายก็เก็บไว้เป็นบทเรียน
ยิ้มให้กับเรื่องที่มีความสุข ร้องไห้ให้กับเรื่องเจ็บปวดใจ นี่แหละคือสไตล์ของข้าพเจ้า 55 (^.^)

ยาวแล้ว ชักหมดเรื่องบ่น
สุดท้ายนี้หลังจากพล่ามเรื่องของตัวเองไปซะยาว ก็อวยพรเพื่อนๆพี่ๆน้องๆเช่นเดิมเหมือนทุกปี ขอให้ทุกท่านมีความสุขมากๆ คืดอะไร ขอให้(พยายามและทุ่มเท)ให้ได้สมดังหวัง
อาจมีท้อแท้ต่อโชคชะตาหรือโทษฟ้าโทษดินบ้าง ก็ขอให้มีกำลังใจฝ่าฟันทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดี
ขอให้เชื่อเสมอว่าปีหน้า พวกเราจะต้องหัวเราะมากกว่าร้องไห้อย่างแน่นอน (^.^)
และอย่าลืมกันนะคะ มาเป็นสาวจิตตกที่ความสุขกันดีกว่าค่ะ อิอิ (อันนี้มันสโลแกนใครฟระ น่ารักจริงๆ)
สวัสดีปีใหม่ 2553 ค่ะ
 

 
ปล.ขอฝากผช.สองคนนี้ไว้ในอ้อมใจของทุกคนด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ (^/\^)
ปล.2 นอกกรอบนอกเรื่อง
รู้เปล่า?? ทุกครั้งที่ไปไหว้พระขอพร หรืออธิษฐานใดๆ เราไม่เคยบนเลยแม้แต่น้อยเพราะอะไรน่ะเหรอ
ข้อแรก คือ ถ้าไม่พยาม ขอไปก็เท่านั้น เราเชื่อแบบนี้เสมอมา
ข้อสอง ก็เป็นอย่างที่บอกไง 80% ของคำอธิษฐานของเราไม่เคยเป็นจริงเลย
ดังนั้นคำขอก็เป็นแบบเดิมทุกครั้ง
ว่าไงน่ะเหรอ…แหมเค้าอ๊ายอาย ก็แค่ขอให้ยิ้มได้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น อุปสรรคมากน้อยแค่ไหนก็ขอให้ผ่านพ้น เจอเพื่อนที่ดีๆ และมีความสุขทุกวันเท่านั้นเอง 555
(โห รู้สึกว่าจะขอมากไปนะเนี่ย 555) แค่สี่ข้อนี้ขอให้เป็นจริงได้สักครึ่งหนึ่ง เค้าก็ดีใจแล้วล่ะ หุหุ
 

Pattern ของชีวิต

=ชีวิตดำเนินไปอย่างนั้น=
เคยถามตัวเองหลายครั้ง ชีวิตที่ผ่านมาช่างว่างเปล่าซะจริงๆ เกิดมา หัดเดิน หัดพูด เรียนอนุบาล ประถม มัธยม เข้ามหาลัย จบออกมาทำงาน เรียนต่อ(จะได้เรียนมะ??) แต่งงาน(ไม่มีคู่อ่ะ) แล้วก็…
เฮ้ย…มันช่างเป็นระเบียบแบบแผนเกินไปแล้ว นั่งคิดตอนนี้ชั้นอยู่ที่ช่วงไหนของจังหวะชีวิตกันแน่
ตอนเรียนเราก็เรียนไปงั้นๆ เรียนไปเพราะมันต้องเรียน ไม่รู้ว่าชอบหรือไม่ชอบแต่ขอให้ได้เรียน
เรียนจบก็ทำงาน ซึ่งก็ต้องทำ เพราะไม่งั้นก็ไม่มีเงินกินข้าว(กับเลี้ยงผช. กร๊ากๆๆ)
ทำงานไปสักพักก็ยังไม่ค้นพบอะไรแปลกใหม่ซะที ตื่นเช้า แปดโมงไปทำงาน กลางวันกินข้าว ทำงานต่อ เลิกงานสี่โมงเย็น กลับบ้านกินข้าว ดูหนังแล้วนอน  วนไปเวียนไป ทุกวัน …ทุกวัน
หาคนเอ็นดู หรือแม้จะเปิดใจกันยังไม่ได้สักคน (สงสัยชั้นคงจะเป็นคนที่มีโลกส่วนตัวสูงละม้างง)
 

=ชีวิตตามกระแส=
เราเริ่มสงสัยนิดๆ ทั้งที่รู้ว่าชีวิตของเราไม่เห็นจำเป็นต้องเหมือนคนอื่น
หน้าตาไม่ดี ไม่ต้องมีแควนก็ไม่เห็นเป็นไร
ไม่มีใครเอ็นดู ช่วยเหลือ ก็พยายามทุกอย่างด้วยตัวเอง
เรียนไม่เก่ง ไม่อยากเรียน ก็ไม่เห็นต้องเรียนเลย
เงินเดือนน้อย ก็ใช้สอยอย่างประหยัด
แต่เพราะคนเรามันเป็นสัตว์สังคมน่ะสิ สิ่งกดดัน และปัจจัยภายนอกมันกดดันซะเหลือเกิน
คิดมากไปก็แอบปวดเฮด นี่ชั้นจะบร้าาไปแแล้้วเหรอเนี่ย???
ทับถมตัวเอง บอกว่าชีวิตช่างโหดร้าย so sad เสียใจ ไปคนเดียว ทั้งที่ในความเป็นจริงมีคนที่ลำบากกว่าเราอีกตั้งเยอะแยะ
นี่แหละน้าาาา….นิสัยของคนที่ไม่เคยพอ เฮ้อ…
 

=ชีวิตที่อยากดำเนินไป=
เราเคยคิดเล่นๆนะ มีเรื่องหลายเรื่องที่อยากทำ แต่ไม่ได้ทำ มีเรื่องที่อยากเปลี่ยนแปลงตัวเอง แต่ทุกครั้งที่จะทำ ใจก็ฝ่อไปซะงั้น 
ฉุกคิดว่าถ้าอยู่อย่างนี้ก็คงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงแน่ๆ (TT_TT)
ไม่ได้เป็นผญ.คิดบวกแบบนาตาลี …
ไม่ได้มองโลกในแง่ดีแบบคุณโก๊ะ…
ไม่ได้มีความสามารถแบบอิเจี๋ย…
 
มีแต่ความฝันลมๆแล้งๆที่อยากจะทำ
ทำสวนสักแปลง รอดูการเติบโตของเมล็ดพันธุ์ที่ลงมือปลูก
ทำร้านหนังสือสักร้าน เปิดอ่านหนังสือฆ่าเวลาเหงา
ทำร้านอาหารเล็กๆ รอลูกค้ามาอย่างไม่คาดหวัง
เที่ยวต่างประเทศ หรือไปหาหนุ่มๆ ยังไงก็ได้ที่ทำให้เรายิ้มได้ 
เพียงแค่นั้น ก็คงมีความสุขแล้ว…
 
 
ไม่ต้องบินให้สูงอย่างใครเขา…จงบินเอาท่าที่เราจะบินไหว   
ท่าที่บินไม่จำเป็นต้องเหมือนใคร…แค่บินไปให้ถึงฝันเท่านั้นพอ   
(FW.mail เหนื่อยใจ แต่ไหวอยู่)

ลมหนาวที่3 ของรพช. (^.^)

ฮ้าววววว ตื่นมาอีกทีวันนี้ก็มีลมหนาวซะแล้ว  ลองมองย้อนกลับไป นี่ก็เป็นปีที่สามแล้วนะที่มาอยู่โรงพยาบาลชุมชน (และก็อาจจะป็นปีสุดท้ายที่อยู่รพช.)
เรื่องดีๆที่รพช.
เรื่องไม่ดีที่รพช.
เรื่องน่าดีใจที่รพช.
เรื่องที่ทำให้เสียน้ำตาที่รพช.
 
ลมหนาวแรกร้าวรานยิ่งกว่าสายลมตะวันออก(โยงกับอิเจี๋ยได้ด้วยวุ้ย 55) แต่ก็เป็นช่วงเวลาที่ได้เรียนรู้งานได้อย่างแท้จริง โดยเฉพาะงานคุณภาพ
ขอบคุณท่านผอ.ที่แม้จะเข้มงวดมากๆๆ แต่ก็ปลูกฝังงานคุณภาพได้อย่างถึงแก่น จนเค้าต้องจรลีหนีไปตั้งหลักใหม่ 555
 
ลมหนาวสอง แม้หนาวกายแต่ไม่ยักกะหนาวใจ มีเรื่องใหม่ให้เรียนรู้จากที่นี่  ลักษณะงานเริ่มเปลี่ยนไปจากงานบริหาร ประชุม เอกสาร ก็ได้ทำคลินิกสมใจ มีบ้างที่รู้สึกว่าตัวเองช่างโง่เขลาเบาปัญญาซะเหลือเกิน หรือแบบว้าว…เคสแบบนี้ตอนอยู่ที่เก่าไม่เคยเจอเลยนิ เพื่อนร่วมงานก็แสนดี อยู่แล้วแม้เหงาบ้างแต่ไม่มากไม่มาย
ขอบคุณพี่เฟิร์น หน.ฝ่ายแสนชิลที่เปิดโอกาสให้ลูกน้องง่อยๆคนนี้ได้ทำงานสบายตามใจอยาก สอนอะไรหลายๆอย่าง(จริงอ่ะ??)
 
พอรู้สึกตัวอีกทีปีนี้ก็ปีที่สามแล้วสินะ มีเรื่องมากมายจริงๆที่ได้เรียนรู้จากที่นี่ พอคิดว่านี่อาจลมหนาวสุดท้ายแล้ว ใจมันหวิวๆอย่างบอกไม่ถูก
พี่ป้าน้าอา คุณตาคุณยายทุกท่านคะ ขอบคุณที่เป็นอาจารย์ ขอบคุณที่สอนความเป็นหมอให้กับคนคนนี้  
 
ไม่รู้ว่าลมหนาวปีหน้าของรพช.จะเป็นไงเนอะ ยังจะได้เห็นทุ่งข้าวออกรวงหรือเปล่า  ถนนสายยาวสีเขียวสองข้างทาง ที่ไม่มีอะไรเลย ชีวิตที่เรียบง่ายและสงบอย่างนี้
 
ลมหนาวของที่นี่ เค้าจะระลึกอยู่เสมอ แม้ว่าต้องจากไปก็ตาม….
———————————————————————————–
สืบเนื่องจากงานหนังสือนะจ๊ะ รูปจากบล๊อกพี่เบียร์(ผู้แปลการ์ตูนวานวาน) http://wan-wan.exteen.com/20091024/wanwan
 

วานวานกะมี้วานวาน น่ารักดีจัง

 

 

                               มีรูปหมู่เราอยู่ข้างหลังกันด้วย 555                     ของขวัญที่เค้าให้วานวาน ถุงสีฟ้าอ่ะ

 

มามะมา…ไปอัมพวากันเต๊อะ!!!

หลังจากที่ทุกคนแยกย้ายกันไปตามทางของตัวเอง  ในปีที่ผ่านมามีเรื่องมากมายที่ทำให้หลายๆคนเกือบประสาทกิน ไม่ว่าจะเป็น  อ้อ ที่ความเหงาเข้าถาโถม แนน ที่เพื่อนชายไม่มอง เอ๊ย ไม่ใช่ ที่ต้องปรับตัวกับการทำงานในสถานที่ใหม่  ตู่ ที่บ้าพลังจน myofacial pain และ skin lesion กำเริบ นู๋วิ ที่เรียนอย่างหนักจนบลาๆๆๆ  เมื่อทุกคนอยู่ในอาการโคม่าขนาดนี้  ก่อนที่จะสายเกินแก้ ทริป “มามะมา…ไปอัมพวากันเต๊อะ!!!” (ตั้งชื่อโดยแพนด้าน้อย) จึงได้ถูกจัดขึ้น ภายใต้การดูแลของดาราพรรณ ทราแวล ทัวร์ (ขอค่าโฆษณาด้วยนะแก อิอิ)  ความสนุกสนานขอทริปทัวร์คนแก่จึงได้เริ่มขึ้นในวันที่ 26-28 กันยายน 2552 ที่ผ่านมา

ก่อนอื่นเลยจะขอแนะนำสมาชิกทัวร์ในครั้งนี้ เริ่มด้วย…

อ้อ…หน.ทริป ผู้ดูแลการทัวร์ และสารถี 

               มย์…สาวสวยโสด (อันนี้ก็ขอค่าโฆษณาด้วยนะ) เหรัญญิกประจำทริป

               แนน…สาวลูกทัวร์ ผู้ไปไหนไปกัน ขอเพียงให้ได้อกจากรพ.เธอก็พอใจ

               พี่ต่าย…พี่สาวที่น่ารัก วัยไม่ใช่อุปสรรคสำหรับเจ๊ เที่ยวกันมาหลายทริป จนกลมกลืนเหมือนเป็นรุ่นราวคราวเดียวกัน

               ตู่…สาวบ้าพลัง ชอบพ่นน้ำมนต์โยไม่ได้ตั้งใจ มาคราวนี้ผอมลงจนน่าอิจฉา เนื่องจากโหมงานหนักที่รพ.ศูนย์

             และท้ายสุด ตัวอิชั้นเอง…ลูกทัวร์ที่แสนจะธรรมดา สาวแว่น ดำ  อ้วน เตี้ยติดดิน ที่ปรารถนาจะออกนอกประเทศสักครั้ง แต่ครั้งนี้ก็ยังคงติดแหงกอยู่ในประเทศ  แต่ไม่เป็นไร ท่องเที่ยวทั่วไทย ไม่ไปไม่รู้ค่ะ ถึงไม่ได้ออกนอกประเทศ แต่ทริปนี้ก็มีอะไรดีๆที่อยาก นำเสนอเหมือนกัน

                เสียดายที่ทริปนี้นู๋วิไม่ได้ไปด้วยเพราะติดภารกิจในการสอบ  ปอ ที่ไม่ว่างลงมาจากอำนาจ และน้องหญิงที่ทำงานงกๆอยู่ที่ศิริราช คิดถึงจัง เลยเที่ยวเผื่อนะจ๊ะ ไม่ต้องงอนไป

ขอเริ่มโม้ทริปเลยน้า อารัมภบทนานเกินไปแล้ว อิอิ

วันเสาร์ที่ 26 กันยายน 2552

          เริ่มเดินทางออกจากปั๊มน้ำมันบางจากที่อยู่ข้างๆบิ๊กซีพระราม 2 ด้วย”ทาโร่” วีออสคู่ใจของอ้อเดินทางเพียงชั่วโมงนิดๆก็มาถึงที่หมายแรก คือ ที่ ดอนหอยหลอด จ.สมุทรสงคราม เสียดายนิดๆที่วันนี้น้ำขึ้น จึงไม่ได้ไปหยอดรูหอย  ได้เห็นแค่น้ำทะเลเท่านั้น (แต่แอบรู้สึกว่าไม่ได้กลิ่นทะเลเลยแหะ หรือว่าจริงๆแล้วมันไม่ใช่ทะเล งงจัง) ขบวนทริปได้ไปสักการะกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ (ได้มีโอกาสเสี่ยงเซียมซี ไม่ดีไม่ร้ายเกินไป พอทำใจให้อยู่ในความไม่ประมาท) จากนั้นก็ไปแวะซื้อของฝาก อาหารแห้ง อยากบอกว่าแผงขายอาหารมีแต่น่ากินทั้งนั้นเลย แต่เสียดายที่ซื้อได้ไม่เยอะ เพราะกลัวของเสียซะก่อนถึงวันกลับ  ได้กินหอยหลอดและหอยทับทิมหวาน (รสชาติโอเคอยู่ แต่ความเหนียวเนี่ยหวั่นๆว่าลวดจัดฟันชั้นจะหลุดมาซะก่อน)

 

    

            หลังที่ที่ซื้อของฝากจนเป็นที่พอใจ พวกเราก็ได้นั่งสุมหัวกันหาของว่างทาน (แน่ใจนะว่ามันเป็นของว่าง) ไข่ปลาหมึก ทองม้วนสด หอยหวาน  ขนมจาก หอยเชลล์ย่าง แถมด้วยส้มตำของเจ๊ต่าย(ถ้าเจ๊ไม่ได้กินเดี๋ยวหมดแรง เพราะไม่มีปลาร้าในกระแสเลือด กร๊ากๆๆๆ)  กินกันอย่างเอร็ดอร่อย และด้วยความงกของพวกเรา เลยไม่ต้องเช่าเสื่อ นั่งกันบนพื้นทั้งอย่างนั้นแหละ หุหุ

            อาหารว่างผ่านไป ต่อมาจึงเป็นอาหารหลักมื้อเที่ยง เราได้มูฟกันไปยังร้านครูหมู  ซึ่งเป็นร้านอาหารขึ้นชื่อ สุดยอดอาหารทะเลริมแม่น้ำแม่กลอง ถ้าไม่ได้จองโต๊ะไว้ก่อน อาจอดกิน อาหารจานเด็ดได้แก่ ปูผัดผงกะหรี่(จานละห้าร้อย แต่อร่อยจริงๆ) ปลาทูซาเตี๊ยะ(อันนี้ชอบเป็นพิเศษ)  หอยหลอดผัดฉ่า ต้มยำรวมมิตร ตบท้ายด้วยไอติมผลไม้(ที่เค้ากินไปได้ติ๊ดเดียว เพราะอิ่มจนกินไม่ลง) โดยสรุปแล้ว อาหารเค้าอร่อยจริงๆนะ ยกนิ้วให้เลย หุหุ  

  

   

            หลังจากหนังท้องตึงหนังตาก็เริ่มหย่อน สถานที่ที่จะไปต่อไปก็ คือ วัดบ้านแหลม หรือ วัดเพชรสมุทรวรวิหาร พระพุทธรูปคู่เมืองแม่กลองขึ้นชื่อเรื่องความศักสิทธิ์ เพื่อนๆทุกคนที่ไปคงบนกันไว้แล้ว ส่วนเราขอบายเพราะไม่ชอบการบน จึงไหว้เฉยๆ พร้อมถือโอกาสทำบุญน้ำมันตะเกียง ที่วัดจะมีโซนที่จัดไว้เพื่อรำแก้บนด้วย

 

 

 

            และแล้วในที่สุดก็ถึงเวลาไปยังที่พัก “กนกรัตน์รีสอร์ท”  อ.อัมพวา จ.สมุทรสงคราม เป็นรีสอร์ทที่อยู่ห่างออกมาจากตลาดไกลอยู่บ้าง แต่ได้ความเป็นส่วนตัว คนไม่พลุกพล่าน บรรยากาศที่พักเชิญชมตามสบาย สวยร่มรื่นอยู่ ทันทีที่ไปถึงที่พักพนักงานต้อนรับเสิรฟด้วยน้ำกระเจี๊ยบคลายร้อนได้เยอะ ส่วนภายในห้องพักก็เรียบร้อย ห้องน้ำน่ารักดี อาหารเช้าโอเค ตอนเช้าก็มี ถึงเจ็ดโมงครึ่ง ใครอยากตักก็ลองมาที่นี่ได้นะ หรือเข้าไปดูรายละเอียดได้ที่ http://www.kanokratresort.com (ขอค่าโฆษณาได้มั้ยเนี่ย อิอิ) อ้อ..ลืมบอกไปข้อเสียคือที่จอดรถน้อยนะ  แต่เค้าก็มีที่จอดอยู่หลังรีสอร์ทอีกที่นึง อ้อมไปอีกนิด ถ้าใครไปแล้วหาที่จอดรถไม่ได้ ก็บอกพนักงานให้ช่วยจัดการให้ก็เรียบร้อย…

 

 

   

 

                กลับมาต่อเรื่องท่องเที่ยว หลังจากเข้าที่พักนอนงีบเติมพลังไปแป๊ปนึง ก็ได้เวลาออกเริงร่าหากินกันต่อที่ตลาดน้ำอัมพวา (เสียดายที่ไม่ได้เที่ยวอุทยานร.2 ที่อยู่ติดกับตลาดน้ำ เพราะรถติดมาก หาที่จอดไม่ค่อยได้ เลยขับผ่านไป ไม่รู้ว่ามีอะไรเหมือนกันนะ เพราะยังไม่เคยไปเหมือนกัน)

                ตลาดน้ำอัมพวา สายน้ำไม่เคยหลับ สัมผัสบรรยากาศวิถีชีวิตชาวบ้านริมน้ำ เสียงเพลงเก่าสุดคลาสสิก ขนมไทย ขนมของเล่นโบราณหายาก (เห็นแล้วนึกถึงสมัยเด็กๆจัง)  ร้านมากมายตามตรอกซอกซอบต่างๆคับคีชั่งด้วยนักท่องเที่ยวที่เดินทางสัญจรมาเยี่ยมชม บางที่แทบจะไม่ได้เดินเลย เรียกว่าไหลไปจะเหมาะกว่า 555 คนเยอะจริงๆ ร้านที่เราถูกใจมีหลายร้านเลยนะ แต่เนื่องจากคนเยอะมากเลยร้อน บวกฝนตกมาเฮือกนึง  เราจึงไม่ค่อยมีแรงถ่ายรูปตามร้านต่างๆ (ขออภัยมา ณ มา ณ ที่นี้ คงต้องไปแฮปรูปจากกล้องคนอื่นมาซะแล้ว อิอิ) แต่ร้านที่เราชอบมากที่สุด คือร้านที่ขายรูปภาพ ไปรษณ๊ยบัตรกับโปสเตอร์นะ แต่ละรูปก็จะมีข้อความเขียนไว้หลากหลายให้คิดตาม บางอันอ่านแล้ว แอบอึ้งไปเลย บางอันก็ขำแบบคิดได้ไง มีอยู่อันนึงที่อ่านแล้วชอบน้ำตาซึมเลย เขียนไว้ว่า "ช่วงเวลาที่ก้มกราบพระ ฉันไม่อธิษฐานขอสิ่งใด…เพราะหนึ่งอึดใจที่ปราศจากความต้องการ ใจฉันช่างสะอาด สงบ เย็น" (ตรงใจอิชั้นมากมาย เพราะเป็นคนนึงล่ะที่เวลาไหว้พระไม่ค่อยขออะไร)

  

 

 

 

                 ส่วนร้านอื่นๆได้แก่ร้านเสื้อ(มีหลายร้านมาก บางร้านขายแพง บางร้านขายถูก ขึ้นอยู่กับลวดลายและการออกแบบ ลองดูให้ดีก่อนซื้อละกัน) ร้านขนม ร้านชานม มีร้านนึงที่ขายเค้กฟองน้ำซึ่งอร่อยและนุ่มมากๆเลย คนต่อคิวกันยาว แต่ถ้าใครได้ไปแนะนำให้ไปลองชิมและก็อุดหนุนกันนะ  กล่องเล็ก 60 กล่องใหญ่ 120 ซื้อ 10 แถม 1 (แง้วววว…เค้าอยากได้ค่าโฆษณาจังอ่ะ) 

 

 

ส่วนของที่ระทึก เอ๊ยระลึก เราถูกใจพวงกุญแจ่หิ่งห้อยเรืองแสงมาก น่ารักดี คือถ้าเอามันไปส่องไฟไว้สักพัก แล้วเอามาไว้ในที่มืด ก้นมันจะเรืองแสงได้ มีขายตามทางหลายร้านมากๆแต่ถ้าจะซื้อแนะนำให้ลองต่อราคานะ เค้าจะติดป้ายว่าราคาตัวละ 39 บาท บางร้านจะต่อได้เป็น 3 ตัว 100  บางร้านได้เป็น 4 ตัว 100 ลองดูดีๆก่อนซื้อนะ

 

เดินกันไประยะนึงเริ่มหาของว่างอีกแล้ว 555 เบอเกอร์ปลาทูไทยเป็นอะไรที่แนะนำให้กิน เพราะอร่อยมาก มีสโลแกนว่า ต้องกินให้ได้ในชาตินี้ หุหุ ถ้าได้ไปก็อย่าลืมแวะซื้อกินสักอันจะติดใจ ไม่ต้องใส่ซอสก็อร่อยนะ

 

และแล้วก็ถึงไคลแมกซ์สำคัญของทริปนี้ นั่นคือ การนั่งเรือชมหิ่งห้อย บรรยากาศสุดโรมานช์ของคู่รัก(แต่บังเอิญทริปนี้มีแต่สาวโฉด เอ๊ย โสดไปทั้งหมด เลยต้องบิ๊วท์บรรยากาศกันเอาเอง ฮา… )  เรือชมหิ่งห้อยก็มีหลายเจ้าด้วยกันแล้วแต่จะเลือก ส่วนใหญ่ราคาตกอยู่ที่คนละ 60 บาท เหมาลำ 600(ส่วนตอนกลางวันราคาจะอีกอย่างนึง แต่จะเป็นการพายเรือทัวร์วัดทำบุญ)  รอบนึงใช้เวลาประมาณ 1ชั่วโมง แต่ไปแล้วคุ้มนะ เพราะได้เห็นหิ่งห้อยตัวเป็นๆ  ซึ่งตัวจริงจะค่อนข้างต่างจากในหนัง

คือ จะเห็นมันเกาะอยู่บนต้นลำภูเป็นกลุ่มๆ ส่องแสงวิบๆ คล้ายไฟคริสมาสต์เลย สวยมาก  เราโชคดีตรงที่มีหิ่งห้อยตัวนึงบินมาเกาะบนกระเป๋า ไม่ยอมไปไหน เลยได้เห็นอย่างใกล้ชิด (ลัคกี้จริงๆเลย \(^.^)/)   ไกด์จะแนะนำที่พักและสถานที่สำคัญติดริมน้ำ เช่น วัด บ้านครูเอื้อ รีสอร์ท หรือโฮมสเตย์ชื่อดัง  พร้อมเล่าประวัติของคลองผีหลอกที่กำลังล่องเรืออยู่ ใครอยากรู้ว่ามีที่มาที่ไปยังไง ลองไปดูนะจ๊ะ

 

                วันแรกเหนื่อยแล้วหลังจากเดินมาเกือบห้าชั่วโมง ต้งแต่บ่ายสามโมงกว่าจนเกือบสามทุ่ม(เดินได้ไงฟระเนี่ย ขาลากเลย) ก็ได้เวลาจรลีกลับที่พัก ก่อนกลับแวะกินหอยทอด กุ้งอบวุ้นเส้นประทังชีพที่ผัดไทยเจ้าเด็ดที่อ้อแนะนำ แต่ผัดไทยมันดันหมดซะนั่น อิอิ พอกลับที่พักก็เหนื่อยมาก อาบน้ำแล้วก็หลับ กิจกรรมในร่มใดๆไม่ไหวจะทำทั้งสิ้น นอนดีก่า คร่อกฟี้…
 
(ยังไม่จบนะจ๊ะยังมีต่อ อีก 2 วันจ้ะ)

Money Crazy

 
หากจะบอกว่าไม่ต้องการเงิน นั่นคงจะไม่ได้
เพราะในโลกนี้ใครๆก็ต้องการเงินทั้งนั้นแหละ
ดังนั้น มันเป็นความน่าเกลียดของโลกใบนี้ ของคน หรือของเงินกันแน่
 
ต้องการเงิน…ต้องการเงิน
งานที่ได้ผลตอบแทนต่ำ จะทำหรือไม่ทำ ก็ได้เท่าเดิม
งานที่ทำแทบเป็นแทบตาย แต่ไม่เอื้อประโยชน์ต่อตัวเราเลยก็มี
ดังนั้นการอยู่เฉยๆ นับเงินตอนสิ้นเดือน คงจะดี 555
 
การหาเงินบางทีอาจจะไม่มีวิธีการตายตัว ยิ่งมากคนยิ่งปรารถนา
ไม่เกี่ยงวิธีการ ไม่ต้องคำนึงถึงข้อผูกมัดและความถูกต้องใดๆ
แต่นั่นมันก็น่าปวดใจ …ถ้าคนจะกลายเป็นปีศาจเพราะเงิน
 
สูญเสียความเป็นตัวของตัวเอง ยิ่งเห็นยิ่งผิดหวัง
เราเองก็เหมือนคนอื่นๆ  อยากได้เงินให้มากขึ้นมากขึ้น
นั่นเพราะผ่านความยากลำบากมาก่อนจึงยิ่งต้องการ
นั่นเพราะคนและสิ่งแวดล้อมต่างก็บีบบังคับ
 
หากปีศาจไม่สามารถชนะได้ก็ดีสินะ เพียงเพื่อรักษาตัวตนที่เชื่อมั่นมาตลอดว่าถูกต้องเอาไว้
ตั้งคำถามและหาคำตอบซ้ำแล้วซ้ำเล่า
สุดท้ายแล้ว จึงได้รู้ความจริงที่ว่า…
คนที่สงบเสงี่ยมและใช้ชีวิตอย่างธรรมดา บางทีจะเป็นคนที่น่ากลัวที่สุด เพราะ พวกเค้า คือ คนบ้าเงินที่ไม่เปิดเผยตัวนั่นเอง
 

 
 
ปล.ทันทีที่ดูเรื่อง Zeni Geba จบ นั่นเหมือนกระจกที่สะท้อนถามตัวเอง มันช่างตอกย้ำความเชื่อเดิมให้แตกสลาย เพราะนี่คือความจริงของชีวิต(ชั้นจะอินเกินไปหรือเปล่าเนี่ย?)
แถมอีกนิด เคนจังเล่นเรื่องนี้ได้หลอนมาก เฮ้อ…ปวดใจจริงๆ สักวันโหมดซาตานคงเข้าครอบงำเป็นแน่แท้ หึหึ
"พระเจ้ามองดูพวกเราอยู่  สิ่งสำคัญไม่ใช่เงิน แต่คือ จิตใจ จงเชื่อมั่นเช่นนั้น"  (เอ่อ..แต่ตอนนี้ชักจะไม่เชื่อแล้วสิ)
From Zeni Geba (jp.series)

มีแต่เรื่องผิดพลาด

ซ้ำแล้วซ้ำเล่าราวกับจะตอกย้ำความไม่ได้เรื่องของตัวเอง
ยิ่งพยายามแค่ไหนก็ไม่อาจรักษาไว้ได้
อยากจะบอกกับคนไข้เหลือเกิน ว่า "ทำดีที่สุดแล้ว"
แต่ก็ไม่สามารถพูดได้เต็มปาก

เฮ้อ…สูญเสียความมั่นใจและความเชื่อถือในตัวเอง
ไม่มีทั้งทักษะ และความชำนาญใดๆ
มีเพียงความพยายามที่มีขีดจำกัด
ยิ่งทุ่มเทเท่าไร พอไม่อาจทำได้ ยิ่งเสียใจเท่านั้น
พยายามใจเย็น และบอกว่า "ไม่มีอะไร"
แต่จะมีใครเข้าใจบ้างล่ะ
เป็นหมอที่ไม่อาจช่วยคนไข้ได้…เจ็บปวดใจกับตัวเองที่ไร้ความสามารถ
พิจารณาความผิดพลาด มีสักกี่มากน้อยที่จะทดแทนได้
ขอโทษจริงๆ
 
เพิ่งรู้ความจริงว่าเราเป็นคนมือหนัก
หลังจากผ่าฟันคุดให้ไอ้น้อง มันก็บ่นเช้าบ่นเย็น บ่นทุกวัน ว่าปากบวม เป็นแผล  แถมชาไม่หาย
โอ้…พระเจ้าจอร์จ ก็ฟันมักยากจริงๆนะ บอกตั้งแต่ต้นแล้ว #48 horizontal impaction classII positionB
แต่มันยังไม่วายบอกว่าจะฟ้องเรา เรียกค่าเสียหายอีก เฮ้อ เวรกรรม ทำไป
แถมพ่อก็ดันเพิ่งมาบอกว่าเรามือหนัก(เคยขูดหินปูนให้) สอดคล้องกับน้องอีก
พอได้ฟังก็อดเสียใจไม่ได้ นี่เราง่อยขนาดนี้เชียว แล้วที่ทำให้คนไข้ทุกวันๆ คนไข้จะรู้สึกยังไงเนี่ย (-_-)"
 
คิดแล้วก็กลุ้มจิต ประกอบกับช่วงที่ผ่านมาเจอแต่ปัญหาในการทำงาน (ยังไม่นับรวมเรื่องน้อยเนื้อต่ำใจอื่นๆอีก)
อาทิตย์ก่อน : รักษารากฟันสองซี่พร้อมกันในคนไข้ แต่รู้สึกยังทำได้ไม่ดีนัก ใจร้อน ทำงานแข่งกับเวลา แถมผู้ช่วยยังไม่มาช่วยอีก ยิ่งทำให้ร้อนรน จนสุดท้ายงานที่ทำออกมาไม่ดีนัก  ได้แต่เสียใจ และหวังว่าวันนัดครั้งต่อไปจะสามารถแก้ไขให้ดีขึ้นได้
เมื่อวันเสาร์ : ทำครอบฟันชั่วคราว แต่ผู้ช่วยก็ไม่ใส่ใจที่จะมาช่วยอีก เซ็งจริงๆ แถมสียังไม่เหมือน ไม่อยากจะโทษว่าเป็นความผิดผู้ช่วย (ทั้งที่ก็มีส่วน) แต่ด้วยความโง่ของเราเอง(ทำไมไม่เช็คสีให้ดีก่อนนะ)  ทำให้ต้องลงเอยเช่นนี้
เมื่อวันอาทิตย์ เช้า : เจอรากหักแต่เช้า ทำเป็นเคสแรกด้วย หุหุ ….แจ๊คพอตแตกจริงๆ กว่าจะแคะได้ ทั้งเปิดเหงือก ทั้งกรอกระดูก แบ่งรากฟัน สงสารคนไข้จัง แต่ก็ได้บอกคนไข้ตั้งแต่ก่อนทำแล้วว่าซี่นี้ยาก โอกาสรากหักมีสูง สุดท้ายก็หักจริงๆ แม้จะทำสำเร็จในที่สุด(ล่อไปชั่วโมงครึ่ง) แต่ก็อดสงสัยความสามารถของตัวเองไม่ได้
ถ้าเป็นคนอื่นทำอาจจะไม่เป็นแบบนี้ก็ได้
เมื่อวันอาทิตย์ บ่าย : รักษารากฟัน แค่เปิด emer #36 ตอนที่ซับโพรงฟันกำลังคิดจะปิดอยู่แล้วเชียว ดันทำฟันแตกซะได้ แถมแตกด้าน lingual ลึกไปได้ขอบเหงือก เซ็งจริงๆ ยิ่งทำยิ่งแย่ ทั้งที่คิดว่าจะสามารถเก็บฟันซี่นี้ไว้ได้ สุดท้ายต้องบอกกับคนไข้ไปว่าอาจต้องถอน
กลัวคนไข้จะเสียความรู้สึกมากๆ พยายามที่จะลอง band แต่ดันไม่มีขนาดที่พอดี ที่สุดแล้ว คือ ลองอุดชั่วคราวเพื่อดูอาการไปก่อน เสียใจจริงๆ ถ้าสุดท้ายฟันซี่นี้ต้องถอนออก(ซึ่งมันคงต้องถอนออกอยู่แล้ว เหลือเพียงรอคนไข้ตัดสินใจเท่านั้นว่าจะถอนเมื่อไหร่)
แถมยังทำ floor of mouth เป็นแผลอีก ตอนแรกคนไข้บอกว่ามีเลือดซึมไหลไม่หยุด เราก็งงเลย ที่แท้หัวกรอไปถากโดนน่ะเอง (แต่อันนี้เขอแบ่งความผิดไปให้ผู้ช่วยด้วย ก็เล่นไม่อยู่ช่วยกันเลย หงุดหงิดใจจริงๆ)
ได้แต่อธิบายให้คนไข้เข้าใจ(ซึ่งก็ไม่แน่ใจว่าคุณน้องเข้าใจมากน้อยเพียงไหนว่าต้องเอาออก) ทั้งที่ในใจมันเจ็บปวด กับตัวเองที่ไร้ความสามารถ (T_T)

 

สรุปแล้วมีอะไรบ้างนะที่เราจะสามารถทำได้ เพราะสิ่งที่ทำลงไปไม่ได้เรื่องสักอย่าง…เฮ้อ เป็นหมอที่ไม่ได้เรื่องจริงๆเลย

ปล.ขอบคุณอ้อที่ปลอบใจเรา แต่งี้ดจริงๆเลยนะ ฟันซี่นั้นความจริงไม่สมควรแตกเลย (T_T)